- ศรัทธา : มีความเชื่อ
- วิริยะ : มีความเพียรแน่วแน่
- สติ : มีความรู้ตัว
- สมาธิ : มีความตั้งใจมั่น
- ปัญญา : มีความรอบรู้ ชัดเจน ไม่หลง
*หมายเหตุ ---งานเขียนทุกชิ้นในบล็อกนี้ เป็นผลงานโดยชอบของผศ. นวลนดา สงวนวงษ์ทอง ได้รับการคุ้มครองสิทธิตามพระราชบัญญัติคุ้มครองสิทธิทางปัญญา ---ยินดีและอนุญาตให้ทำซ้ำหรือเผยแพร่ต่อเพื่อประโยชน์ทางการศึกษาเท่านั้น ---สงวนสิทธิ์ภายใต้สัญญาอนุญาต ครีเอทีฟคอมมอนส์ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย. ---ท่านสามารถนำเนื้อหาในส่วนบทความไปใช้ แสดง เผยแพร่ โดยต้องอ้างอิงที่มา ห้ามใช้เพื่อการค้าและห้ามดัดแปลง
ผู้ติดตาม
เกี่ยวกับฉัน
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ตัวอย่างการคิดนอกกรอบ "นันทวรรณ พวงแก้ว"
ตอบลบ"ความคิดสร้างสรรค์" หรือ "ครีเอทีฟ" นั้น บางทีก็ต้องเริ่มต้นจากการ "คิดนอกกรอบ"
คำถามแรกของการคิดนอกกรอบก็คือ ทำไมต้องเหมือนกับสิ่งที่เป็นมาและที่ดีกว่าเป็นอย่างไร
เรื่อง ก็หนูอยากเปลี่ยนชื่อ
เป็นเรื่องครูในโรงเรียนสาธิตแห่งหนึ่งให้นักเรียนชั้น ป.3 แต่งเรียงความเป็นการบ้าน
ครูกำหนดตัวละคร 5 คนและตั้งชื่อ นักเรียนแค่นำตัวละครเหล่านี้ไปแต่งเรื่องมาเท่านั้น อะไรก็ได้
เด็กคนหนึ่งยกมือค้านบอกว่าไม่ชอบชื่อตัวละคร และขอเปลี่ยนชื่อใหม่ โดยเสนอชื่อตามสมัยนิยมมา 5 ชื่อ
ครูแกล้งไม่ยอม ยืนยันให้ใช้ชื่อเดิม เธออยากรู้ว่าเด็กน้อยจะแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างไร
เด็กหน้ามุ่ยแสดงชัดว่า ไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่ได้โต้เถียงอะไร
วันรุ่งขึ้นเด็กคนนั้นก็ส่งการบ้านเหมือนกับเพื่อน ๆ แต่ใบหน้าของเขายิ้มแย้มแบบมีเลศนัย
รู้ไหมครับว่าเรื่องที่เขาแต่งมาเป็นอย่างไร
ติ๊กต่อก...ติ๊กต่อก...ติ๊กต่อก
เฉลยครับ...นักเรียนคนนี้ทำตามกติกาของคุณครู คือให้ตัวละครทั้ง 5 คนใช้ชื่อตามที่ครูกำหนด
แต่พอเริ่มเรื่องปั๊บ ตัวละครทั้งหมดก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง เดินขึ้นอำเภอทันที
ขึ้นไปขอเปลี่ยนชื่อใหม่
ก็ชื่อที่เด็กน้อยคนนี้เสนอในห้องเรียนนั่นแหละครับ
ภารกิจการเปลี่ยนชื่อเสร็จสิ้น จึงค่อยเดินเรื่องต่อไปตามจินตนาการของตนเอง
ครูอ่านจบก็ยิ้มและหัวเราะ ไม่ได้ว่าอะไร แถมมาเล่าต่อด้วยความเอ็นดู
เด็กน้อยคนนี้มีกระบวนการยืนยันเจตนารมณ์ของตนเองที่ฉลาดมาก
สามารถบรรลุเป้าหมายที่ตนเองต้องการโดยไม่ขัดแย้งกับกติกาที่ผู้ใหญ่กำหนด
เรื่อง Just a paper
อาจารย์คนหนึ่งสั่งให้นักศึกษาทุกคนยืนชิดติดผนังห้อง แล้วส่งกระดาษให้คนละแผ่น ก่อนตั้งโจทย์แบบฝึกหัดง่าย ๆ
"ให้ทุกคนพับเครื่องบินกระดาษ และปาจากที่ยืนอยู่ไปให้ถึงผนังฝั่งตรงข้าม"
ผนังนั้นห่างจากผนังอีกฝั่งหนึ่งที่นักศึกษายืนอยู่ประมาณ ๑๐ เมตร
ทุกคนพยายามพับกระดาษเป็นรูปเครื่องบินต่าง ๆ หลากหลายรูปแบบตามที่คิดว่า จะทำให้พุ่งได้ไกลที่สุด
ทุกคนปาเครื่องบินกระดาษของเขาอย่างแรงที่สุดแต่ไม่มีลำไหนพุ่งถึงผนังฝั่งตรงข้ามเลย
อาจารย์คนนั้นก็เดินเข้ามาแล้วบอกว่า ให้ทุกคนดูฝีมือการพับกระดาษระดับแชมป์เปี้ยนโลก
เขาใช้เวลาพับเครื่องบินไม่ถึง ๕ วินาที
"เครื่องบิน" ของเขาไม่มีปีก
"เครื่องบิน" ของเขาเป็นรูปทรงกลม
ครับ เขาขยำกระดาษให้เป็นก้อนกลม ขยำให้แน่นที่สุดแล้วปาไปที่ผนังฝั่งตรงข้ามสุดแรง
"เครื่องบินกระดาษ" ของเขาไปถึง "เป้าหมาย" แม้จะไม่มีปีก
เหตุผลง่าย ๆ สำหรับเรื่องนี้ก็คือ นักศึกษาทุกคนติด "กรอบ" เดิม ๆ ว่า
เครื่องบินกระดาษต้องมีหน้าตาแบบเครื่องบินกระดาษ ทุกลำต้องมีปีก
ทุกคนคิดถึง "กรอบ" ของรูปแบบมากกว่า "เป้าหมาย"
แต่เพราะอาจารย์คนนี้เริ่มต้นคิดที่ "เป้าหมาย" แล้วค่อยคิดรูปแบบการพับเครื่องบินกระดาษ
เขาไม่ติดกรอบรูปลักษณ์แบบเดิม ๆ
เพราะคำถามง่าย ๆ ว่า "ทำไมต้องเหมือนกับที่เป็นมา"
เครื่องบินกระดาษของเขา จึงไม่เหมือนเครื่องบินของใคร
แต่ถึง "เป้าหมาย" ที่ต้องการ
ที่มา :http://pbmath.exteen.com/20090228/entry-3
28 Feb.2009
เหตุผล: มุมมองการคิดของคนแต่ละคนนั้นถูกหล่อหลอมและเริ่มต้นมาตั้งแต่วัยเด็ก แต่เราก็มักจะพบว่ามีหลายปัจจัยที่สร้างให้คนเราตีกรอบความคิดให้กับตนเอง โดยเฉพาะการเลี้ยงดูของสังคมไทย คนส่วนน้อยที่จะมีโอกาสได้อยู่ในสังคมที่เอื้อต่อการคิดอย่างสร้างสรรค์ เปิดโอกาสให้คิดและแก้ปัญหาด้วยตนเอง ดังนั้นคำถามต่อไปคือเราได้พัฒนารูปแบบการเรียนการสอนที่เรียกว่า Child Center ที่แท้จริงได้แล้วหรือยัง (23 Nov. 2010)
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบขอบคุณคุณนันทวรรณค่ะ ชอบเรื่องเปลี่ยนชื่อค่ะ ทำให้คิดได้ว่า ก่อนความคิดดี ๆ จะเกิด เราต้องมีความมุ่งมั่นจริง ๆ โอ๊ค ทำไมข้อความหายไปคะ
ตอบลบเป็นเรื่องโฆษณาสินค้ายี่ห้อ Pantene ครับ
ตอบลบโฆษณานำเสนอเรื่องเกี่ยวกับเด็กพิการทางหูที่อยากจะเล่นดนตรีครับ
เธอได้กำลังใจในการเล่นดนตรีคืนมีอีกครั้งหลังจากที่ได้พบกับผู้ชายคนหนึ่ง
ที่เป็นเหมือนกับเธอ
แหล่งที่มา : http://www.youtube.com/watch?v=Um9KsrH377A
11 Sep 2008
เหตุผล : แนวทางในการคิดงานของเจ้าของโฆษณานี้ มีเป้าหมายคือการขายของที่แปลกและแตกต่างจากแบบเดิมๆที่เราได้เจอกันอยู่ทุกวัน ทำให้กลุ่มผู้บริโภคที่ได้ชมส่วนใหญ่ไม่สามารถสลัดความคิดให้หลุดจากกรอบเดิมๆที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ ความเชื่อ และความเคยชินเก่าๆได้ จึงเกิดความรู้สึกคล้อยตามและอ่อนไหวต่อเนื้อเรื่องที่นำเสนอ จนเป็นเหตุให้พลาดจุดสำคัญของการนำเสนอในตอนท้ายของโฆษณาชิ้นนี้ไป อีกทั้งโฆษณาชิ้นนี้ยังให้ข้อคิดกับเราในตอนท้ายด้วยว่า "You can shine." คือไม่ใช่แค่ว่าถ้าคุณใช้สินค้าตัวนี้คุณจะมีผมที่สลวยเป็นเงาระยิบระยับเท่านั้น แต่ยังสะท้อนเห็นอีกว่า ถ้าคุณรู้จักคิดให้ต่างออกไปจากกรอบความคิดเดิมๆของคุณ(เหมือนที่เจ้าของโฆษณาได้นำเสนอ) คุณก็จะสามารถเผยสิ่งดีๆที่ซ่อนอยู่ในตัวคุณออกมาได้
ชื่อภาพ: Simplicity
ตอบลบแหล่งที่มา: หน้าจอของ Google Frontpage
http://img831.imageshack.us/img831/549/googlesc.jpg
เหตุผล: บริการค้นหาข้อมูลของบริษัท Google เป็นบริการที่ได้รับการยอมรับจากผู้คนทั่วโลกว่าให้ผลการค้นหาที่
ตรงตามความต้องการ เพียงแค่พิมพ์รายละเอียดสิ่งที่ต้องการค้น
หน้าแรกของ Google เรียบง่ายสะท้อนแนวความคิด
Simplicity ไม่ว่าจะเรียกใช้บริการจากสถานที่ใดก็ตาม การแสดง
ผลของหน้าแรกเป็นไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เวบไซต์ทั่วไปจะประกอบ
ไปด้วยภาพและเนื้อหามากมาย แต่หน้าแรกของ Google นี้ยังคงเดิม สิ่งที่เปลี่ยนแปลงตามเหตุการณ์สำคัญของแต่ละวันและ
แต่ละประเทศคือสัญลักษณ์ของบริษัทและรายละเอียดของเหตุการณ์
ซึ่งเบื้องหลังของความเรียบง่ายนี้ มีความซับซ้อน
ซ่อนอยู่มากมาย อันประกอบไปด้วย จำนวนของเครื่องคอมพิวเตอร์
จำนวนมาก วางอยู่ทุกภูมิภาคทั้งในเอเซีย ยุโรป แอฟริกา
โครงสร้างของวิธีการที่จะให้คำตอบสำหรับการค้นหาที่ซับซ้อน
สำหรับแต่ละภาษาที่แตกต่างกันจากผู้ใช้บริการทั่วโลก
สิ่งที่ทำให้เห็นถึงการคิดนอกกรอบสำหรับ Google คือ
วิธีการในการนำเสนอที่ว่าไม่จำเป็นต้องมีรายละเอียด มากมาย
เพียงแค่มองให้เห็นถึงสิ่งที่ผู้ใช้บริการต้องการ สะดวกรวดเร็ว และ
ที่สำคัญคือ ความเีรียบง่าย
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบชื่อภาพ : world wide
ตอบลบแหล่งที่มา :
- http://www.slashphone.com/mobile-phones-equipped-with-near-field-communications-nfc-to-generate-75bn-worth-of-payment-transactions-within-5-years-04915#entrycontent
- http://www.bmob.co.uk/2010/08/20/contactless-mobile-payment-system-from-visa-to-go-trial-in-turkey/
- http://www.mobilewhack.com/nokia-6131-nfc-mobile-payment-trial
เหตุผลที่เลือกนำเสนอ :
ในปัจจุบันมือถือได้มีการพัฒนาปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นตั้งแต่
- การโทรศัพท์ติดต่อสื่อสาร การส่งข้อความตัวอักษรจนกระทั่งมีรูปภาพ เสียง วีดีโอ
- การถ่ายภาพและวีดีโอ
- การติดต่อแบบเห็นหน้า face to face
- เล่นอินเตอร์เน็ตบนมือถือ
- แผนที่นำทาง GPS
และในโลกอนาคตมีระบบที่ช่วยอำนวยความสะดวก คือ Mobile Payment
ประโยชน์ของ Mobile Payment
- เกิดธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อรองรับธุรกรรมรูปแบบใหม่
- กระจายรายได้ไปสู่กลุ่มผู้เกี่ยวข้องหลายส่วน
- เพิ่มช่องทางการทำธุรกรรมให้มีความสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น
วันที่เผยแพร่ : 24 พฤศจิกายน 2553
•ชื่อเรื่อง เปลี่ยนมุมมอง
ตอบลบ•แหล่งที่มา : http://www.212cafe.com/freewebboard/view.php?user=tbw008&id=348 (9/01/2009)
ถ้าหาก....
หมอขับรถส่วนตัวมาทำงาน ขับด้วยความเร็ว 100 km/h
ส่วนพยาบาล นั่งรถเมล์มาทำงาน ซึ่งวิ่งด้วยความเร็ว 60 km/h
หมอและพยาบาลอยู่บ้านติดกัน มาเส้นทางเดียวกันและออกเวลาพร้อมกัน
หมอและพยาบาลมาทำงานโดยไม่ติดไฟแดง และไม่แวะพักที่ใดที่หนึ่งทั้งนั้น
เมื่อมาถึงที่ทำงาน พบว่าเธอมาก่อนเขา 10 นาทีเสมอ
ถามว่าทำไมเป็นเช่นนั้น??
ลองใช้เวลาคิดสัก 3 นาทีก่อนดูเฉลย
คำตอบ : เธอมาก่อนเขาเพราะเธอขับรถส่วนตัวและเขานั่งรถเมล์
หมายความว่า "เธอคือหมอ" และ "เขาคือพยาบาล"
เหตุผลที่เลือกนำเสนอ : ด้วยความเคยชิน มนุษย์มักมองทุกสิ่งด้วยความเชื่อเดิมๆ เช่นในคำถาม เมื่อเอ่ยถึงหมอและพยาบาล เรามักคิดว่าผู้ชายคือหมอและผู้หญิงคือพยาบาล ทำให้แทนคำว่า เขา เป็นหมอ เธอ เป็นพยาบาล โดยไม่รู้ตัว แต่เมื่อเราเปลี่ยนมุมมอง ลองคิดนอกกรอบ จะเห็นความจริงที่ถูกมองข้ามไปว่า หมอไม่ได้มีเฉพาะผู้ชายและพยาบาลไม่ได้มีเฉพาะผู้หญิง ตัวอย่างคำถามนี้จึงเป็นตัวอย่างที่ดีและมองเห็นภาพการคิดนอกกรอบได้ชัดเจน ควรแก่การหยิบยกขึ้นมานำเสนอ
กัลยา กันทวัน 5320416011
ชื่อเรื่อง : โต๊ะสัมผัสเชื่อม"โลกจริง"กับ"ภาพฉาย"
ตอบลบแหล่งที่มา :
- http://www.arip.co.th/news.php?id=410757
วันที่เผยแพร่ : 26 มกราคม 2553
- http://thai-cs.spaces.live.com/blog/cns!4D52C1812766D2D7!1034.entry
วันที่เผยแพร่ : ธันวาคม 2550
เหตุผลที่เลือก
เป็นการนำกล้องถ่ายรูป กับ เครื่องฉายภาพ มาประยุกต์ใช้งาน ทำให้เกิดมิติใหม่ ในโลกของ Touch Screen โต๊ะสัมผัส สามารถเชื่อมอุปกรณ์ IT เข้าด้วยกัน ได้อย่างง่ายดาย
ชื่อภาพ : รู้รักสามัคคี
ตอบลบแหล่งที่มา : http://gotoknow.org/blog/tomkku/89793 ( พ.ศ.2550 )
เหตุผลที่เลือกนำเสนอ :
อยากให้ทุกคนมีความสามัคคีกันค่ะ จากภาพ มีลาอยู่สองตัวผูกเชือกติดไว้ด้วยกัน โดยมีกองหญ้าวางอยู่สองฝั่ง แสดงให้เห็นว่า ถ้าลาสองตัวนั้นจะไปไหนก็ต้องไปด้วยกัน แต่ในภาพ ลาสองตัวต่างยื้อแย่งกันไปกินหญ้าคนละฝั่ง จนเหนื่อยและไม่มีลาตัวไหนได้กินหญ้าเลย จนตอนหลัง ลาทั้งสองตัวก็มานั่งคิดว่าจะทำอย่างไรดีที่จะได้กินหญ้า ในที่สุด ลาทั้งสองตัวได้มานั่งคุยกันและตัดสินใจว่า จะไปกินหญ้าทีละฝั่งพร้อมกัน ทำให้ลาทั้งสองตัวได้กินหญ้าโดยที่ไม่ต้องยื้อแย่งกันให้เสียเวลาและเจ็บตัว ถ้าเปรียบเหมือน มนุษย์ เวลาเราอยู่ในสังคมการเรียนการทำงาน และทำกิจกรรมต่างๆร่วมกัน อยู่กลุ่มเดียวกัน ถ้าเราไม่มาทำความเข้าใจปรึกษากันว่าเราควรจะทำอย่างไรให้ประสบความสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ถ้าต่างคนต่างคิดก็จะเกิดความแตกแยก เกิดความไม่พอใจซึ่งกันและกัน และอาจทำให้เสียประโยชน์ไม่อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่าง และไม่ก่อให้เกิดความสำเร็จอย่างที่ควรจะได้ แต่ถ้าเรามีความสามัคคีกัน ร่วมคิดร่วมทำก็จะก่อให้เกิดความสำเร็จและประโยชน์สูงสุด
วันที่เริ่มเผยแพร่ : 24 พฤศจิกายน 2553
ชื่อโฆษณา : ลาเต้อยากกอดเมืองไทย
ตอบลบแหล่งที่มา : http://www.youtube.com/watch?v=nxymE9-eejY&feature=related
วันที่เผยแพร่ : วันที่ 3 สิงหาคม 2553
โฆษณานี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับ สุนัขตัวหนึ่งชื่อ ลาเต้ ที่อยากออกไปกอดเมืองไทย จุดขายของโฆษณานี้คือความคิดสร้างสรรค์ที่ใช้ในการดำเนินเรื่อง
เหตุผลของการนำเสนอ :
โฆษณานี้ขายความคิดสร้างสรรค์เรื่องการ รักเมืองไทย ขายความน่ารักของสุนัขในโฆษณาเพื่อประชาสัมพันธ์ให้คนไทยอยากไปเที่ยวเมืองไทยมากขึ้น โฆษณานี้ทำให้เราหลุดจากกรอบความคิดเดิมๆ เช่น ในโฆษณาพูดถึงการกอดภูเขา คนทั่วๆไปมักนึกถึงภูเขาที่เคยเห็นทั่วๆไป แต่น้องลาเต้กอดซอสปรุงรสยี่ห้อหนึ่งซึ่งมีชื่อเป็นภูเขาเหมือนกัน การกอดทะเลหมอกของน้องลาเต้คือ รมอยู่ในควันไก่ย่าง เป็นสิ่งที่เรานึกไม่ถึง ซึ่งโดยปกติเราจะนึกถึงทะเลหมอกที่อยู่บริเวณภูเขา ทำให้คิดได้ว่าเราจำกัดความคิดของตัวเองไว้ในกรอบเสมอแทบที่จะไม่นึกถึงสิ่งอื่นมาทดแทน โฆษณาเตือนเราว่า เราได้นำจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์มาใช้บ้างแล้วหรือยัง?
สุพัตรา ลีลาสุภาศรี
5320416002
ชื่อบทความ : "คำตอบ"
ตอบลบแหล่งที่มา : http://board.palungjit.com/f6/เรื่องของการคิดนอกกรอบ-อ่านแล้วสะใจจริงๆครับ-21284.html
วันที่เริ่มเผยแพร่ : 10-12-2005, 11:28 AM
โจทย์ข้อหนึ่งในข้อสอบวิชาฟิสิกส์ของมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกนมีดังนึ้ "จงอธิบายว่าท่านจะใช้บารอมิเตอร์วัดความสูงของตึกระฟ้าได้อย่างไร"
รู้จักกันนะครับ ว่าบาร์รอมิเตอร์นี่ก็คือเครื่องมือวัดความกดอากาศนั่นเอง (อธิบายเพิ่มเติมก็คงต้องบอกว่า อากาศนั้นมันมีน้ำหนักหรือมีแรงกดนั่น และแรงกดของอากาศนั้นเมื่ออยู่ในระดับความสูงที่เปลี่ยนไป ความกดอากาศก็เปลี่ยนไปด้วย) เอามาจากwww.thaireaderclub.com
นักศึกษาคนหนึ่งเขียนคำตอบลงไปว่า "เอาเชือกยาวๆ ผูกกับบารอมิเตอร์แล้วหย่อนลงมาจากยอดตึก แล้วก็เอาความยาวเชือก บวกความสูงบารอมิเตอร์ก็จะได้ความสูงของตึก"
ฟังดูเป็นอย่างไรครับคำตอบนี้ ผมฟังครั้งแรกผมยังอมยิ้มเลยครับ แต่อาจารย์ที่ตรวจข้อสอบไม่นึกขันอย่างผมด้วย อาจารย์ตัดสินให้นักศึกษาคนนั้นสอบตก
นักศึกษาผู้นั้นยืนยันต่ออาจารย์ที่ปรึกษาว่า คำตอบของเขาควรจะถูกต้องอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง และคำตอบของเขาก็สามารถพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ ทางมหาวิทยาลัยจึงตั้งกรรมการชุดหนึ่งมาตัดสินเรื่องนี้ และในที่สุดคณะกรรมการก็มีความเห็นตรงกันว่า คำตอบนั้นถูกต้องอย่างแน่นอน แต่เป็นคำตอบที่ไม่แสดงถึงความรู้ความสามารถทางฟิสิกส์
ดังนั้น เพื่อเป็นการแก้ข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้น ทางคณะกรรมการจึงให้เรียกนักศึกษาคนนั้นมา แล้วให้สอบข้อสอบข้อนั้นอีกครั้งหนึ่งต่อหน้า โดยให้เวลาเพียง 6 นาที เท่ากับเวลาในการสอบข้อสอบเดิม เพื่อหาคำตอบที่แสดงให้เห็นถึงความรู้ทางด้านฟิสิกส์
หลังจากผ่านไป 3 นาที นักศึกษาคนนั้นก็ยังนั่งนิ่งอยู่ กรรมการจึงเตือนว่า เวลาผ่านไปครึ่งหนึ่งแล้วจะไม่ตอบหรืออย่างไร นักศึกษาหัวรั้นจึงตอบว่า เขามีคำตอบมากมายที่เกี่ยวกับฟิสิกส์ แต่ไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะใช้คำตอบไหนดี และเมื่อได้รับคำเตือนอีกครั้ง นักศึกษาจึงเขียนคำตอบลงไปดังนี้
ให้เอาบารอมิเตอร์ขึ้นไปบนดาดฟ้าตึกและทิ้งลงมา จับเวลาจนถึงพื้น, ความสูงของ ตึกหาได้จากสูตร H=0.5g*t กำลัง 2
หรือถ้าแดดแรงพอ ให้วัดความสูงบารอมิเตอร์แล้วก็วางบารอมิเตอร์ให้ตั้งฉากพื้น แล้ววัดความยาวของ เงาบารอมอเตอร์ จากนั้นก็วัดความยาวของเงาตึก แล้วคิดด้วยตรีโกณมิติก็จะได้ความสูงของตึกโดยไม่ ต้องขึ้นไปบนตึกด้วยซ้ำ
หรือถ้าเกิดอยากใช้ความสามารถด้านวิทยาศาสตร์มากกว่านี้ ก็เอาเชือกเส้นสั้นๆ มาผูกกะบารอมิเตอร์แล้วแกว่งเหมือนลูกตุ้ม ตอนแรกก็แกว่ง ระดับพื้นดิน แล้วก็ไปแกว่งอีกทีบนดาดฟ้า ความสูงของตึกจะหาได้จาก ความแตกต่าง ของคาบการแกว่ง เนื่องจากความแตกต่างของแรงดึดดูดจากจุดศูนย์กลางของมวล คำนวณจาก T = 2 พาย กำลัง 2 รากที่ 2 ของ l/g
ถ้าตึกมีบันไดหนีไฟก็ง่ายๆ ก็เดินขึ้นไปเอาบารอมิเตอร์ทาบแล้วก็ทำเครื่องหมายไปเรื่อยๆ จนถึงยอดตึกนับไว้คูณด้วยความสูงของบารอมิเตอร์ก็ได้ความสูงตึก
แต่ถ้าคุณเป็นคนที่น่าเบื่อและยึดถือตามแบบแผนจำเจซ้ำซาก คุณก็เอาบารอมิเตอร์วัดความดันอากาศที่พื้นและที่ยอดตึก คำนวณความแตกต่างของ ความดันก็จะได้ความสูง
ส่วนวิธีสุดท้ายง่ายและตรงไปตรงมาก็คือ ไปเคาะประตูห้องภารโรง แล้วบอกว่า อยากได้บารอมิเตอร์สวยๆ ใหม่เอี่ยมสักอันไหม ช่วยบอกความสูงของตึกให้ผมทีแล้วผมจะยกให้
นักศึกษาคนนั้นคือ นีล โบร์ ผู้ได้รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปีค.ศ.1922
เหตุผลของการนำเสนอ :
ชอบบทความนี้เพราะแสดงให้เห็นว่า คำตอบ ไม่ได้มีเพียงคำตอบเดียวเสมอไป แม้ว่าคำถามนั้นจะเป็นคำถามในวิชาทางวิทยาศาสตร์ก็ตาม
คำตอบ ที่เราคิดออกมาได้นั้น จะสามารถตอบคำถามที่ตั้งไว้ได้หรือไม่นั้น อาจขึ้นอยู่กับปัจจัย และสิ่งแวดล้อม ณ ขณะนั้น
ถูก หรือ ผิด อาจอยู่ที่การนำไปใช้ และผลลัพธ์ที่เราต้องการมิใช่หรือ
คำตอบที่ถูกต้อง คำตอบที่เหมาะสม คำตอบที่นำไปปฏิบัติได้จริง อาจไม่ใช่คำตอบเดียวกันก็ได้
คำตอบ นอกจากจะขึ้นอยู่กับคำถาม สิ่งแวดล้อม การนำไปใช้ ยุคสมัยแล้ว อย่าลืมว่า คำตอบ ยังขึ้นอยู่กับผู้ถามอีกด้วย
ฉะนั้น นอกจากจะตั้งใจฟังคำถามแล้ว เราควรที่จะตั้งใจฟังคำสั่งที่แนบมากับคำถามนั้น เพื่อที่จะสามารถให้ คำตอบที่ดีที่สุดแก่ผู้ถามค่ะ(24 พฤศจิกายน 2553)
อญวดี ศิริโยธา
5320416003