วันจันทร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2554

3*8=23 น่าคิดค่ะ [เนื้อหานี้มาจากเมลส่งต่อ ส่งต่อ ส่งต่อ มาหลายทอด ขอบคุณ ORIGINAL ค่ะ]

3 x 8 = ?????

เอี๋ยนหุยใฝ่ศึกษา มีคุณธรรมงดงาม เป็นศิษย์รักของขงจื้อ  มีอยู่วันหนึ่ง เอี๋ยนหุยออกไปทำธุระที่ตลาด เห็นผู้คนจำนวนมากห้อมล้อมอยู่ที่หน้าร้านขายผ้า

จึงเข้าไปสอบถามดู จึงรู้ว่าเกิดการพิพาทระหว่างคนขายผ้ากับลูกค้า
ได้ยินลุกค้าตะโกนเสียงดังโหวกเหวกว่า “3x8ได้ 23 ทำไมท่านถึงให้ข้าจ่าย24เหรียญล่ะ!”
เอี๋ยนหุยจึงเดินเข้าไปที่ร้าน หลังจากทำความเคารพแล้ว ก็กล่าวว่า “พี่ชาย 3x8 ได้ 24 จะเป็น 23 ได้ยังไง? พี่ชายคิดผิดแล้ว ไม่ต้องทะเลาะกันหรอก”

คนซื้อผ้าไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ชี้หน้าเอี๋ยนหุยและกล่าวว่า “ใครให้เจ้าเข้ามายุ่ง! เจ้าอายุเท่าไหร่กัน! จะตัดสินก็มีเพียงท่านขงจื้อเท่านั้น ผิดหรือถูกมีท่านผู้เดียวที่ข้าจะยอมรับ

ไป ไปหาท่านขงจื้อกัน ”

เอี่ยนหุยกล่าวว่า “ก็ดี หากท่านขงจื้อบอกว่าท่านผิด ท่านจะทำอย่างไร?”
คนซื้อผ้ากล่าวว่า“หากท่านวินิจฉัยว่าข้าผิด ข้ายอมให้หัวหลุดจากบ่า! แล้วหากเจ้าผิดล่ะ?”
เอี๋ยนหุยกล่าวว่า “หากท่านวินิจฉัยว่าข้าผิด ข้ายอมถูกปลดหมวก(ตำแหน่ง)”
ทั้งสองจึงเกิดการเดิมพันขึ้น

เมื่อขงจื้อสอบถามจนเกิดความกระจ่าง ก็ยิ้มให้กับเอี๋ยนหุยและกล่าวว่า “3x8ได้ 23 ถูกต้องแล้วเอี๋ยนหุย เธอแพ้แล้ว ถอดหมวกของเธอให้พี่ชายท่านนี้เสีย”
เอี๋ยนหุย ไม่โต้แย้ง ยอมรับในการวินิจฉัยของท่านอาจารย์ จึงถอดหมวกที่สวมให้แก่ชายคนนั้น
ชายผู้นั้นเมื่อได้รับหมวกก็ยิ้มสมหวังกลับไป
ต่อคำวินิจฉัยของขงจื้อ ต่อหน้าแม้เอี๋ยนหุยจะยอมรับ แต่ในใจกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น
เอี๋ยนหุยคิดว่าท่านอาจารย์ชรามากแล้ว ความคิดคงเลอะเลือน จึงไม่อยากอยู่ศึกษากับขงจื้ออีกต่อไป

พอรุ่งขึ้น เอี๋ยนหุยจึงเข้าไปขอลาอาจารย์กลับบ้าน ด้วยเหตุผลที่ว่าที่บ้านเกิดเรื่องราว ต้องรีบกลับไปจัดการ

ขงจื้อรู้ว่าเอี๋ยนหุยคิดอะไรอยู่ ก็ไม่ได้สอบถามมากความ อนุญาตให้เอี๋ยนหุยกลับบ้านได้
ก่อนที่เอี๋ยนหุยจะออกเดินทาง ได้เข้าไปกราบลาขงจื้อ ขงจื้อกล่าวอวยพรและให้รีบกลับมาหากเสร็จกิจธุระแล้ว

พร้อมกันนั้นก็ได้กำชับว่า “อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่ อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง”

เอี๋ยนหุยคำนับพร้อมกล่าวว่า “ศิษย์จะจำใส่ใจ” แล้วลาอาจารย์ออกเดินทาง

เมื่อออกเดินทางไปได้ระยะหนึ่ง เกิดพายุลมแรงสายฟ้าแลบแปลบ เอี๋ยนหุยคิดว่าต้องเกิดพายุลมฝนเป็นแน่

จึงเร่งฝีเท้าเพื่อจะเข้าไปอาศัยอยู่ไต้ต้นไม้ใหญ่ แต่ก็ฉุกคิดถึงคำกำชับของท่านอาจารย์ที่ว่า “อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่ อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง”
เราเองก็ติดตามท่านอาจารย์มาเป็นเวลานาน ลองเชื่ออาจารย์ดูอีกสักครั้ง คิดได้ดังนั้น จึงเดินออกจากต้นไม้ใหญ่
ในขณะที่เอี๋ยนหุยเดินไปได้ไม่ไกลนัก บัดดล สายฟ้าก็ผ่าต้นไม้ใหญ่นั้นล้มลงมาให้เห็นต่อหน้าต่อตา เอี๋ยนหุยตะลึงพรึงเพริด

คำกล่าวของพระอาจารย์ประโยคแรกเป็นจริงแล้ว หรือตัวเราจะฆ่าใครโดยไม่รู้สาเหตุ?



เอี๋ยนหุยจึงรีบเดินทางกลับ กว่าจะถึงบ้านก็ดึกแล้ว แต่ไม่กล้าปลุกคนในบ้าน เลยใช้ดาบที่นำติดตัวมาค่อยๆเดาะดาลประตูห้องของภรรยา
เมื่อเอี๋ยนหุยคลำไปที่เตียงนอน ก็ต้องตกใจ ทำไมมีคนนอนอยู่บนเตียงสองคน!

เอี๋ยนหุยโมโหเป็นอย่างยิ่ง จึงหยิบดาบขึ้นมาหมายปลิดชีพผู้ที่นอนอยู่บนเตียง

เสียงกำชับของอาจารย์ก็ดังขึ้นมา “อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง”



เมื่อเขาจุดตะเกียง จึงได้เห็นว่า คนหนึ่งคือภรรยา อีกคนหนึ่งคือน้องสาวของเขาเอง
พอฟ้าส่าง เอี๋ยนหุยก็รีบกลับสำนัก

เมื่อพบหน้าขงจื้อจึงรีบคุกเข่ากราบอาจารย์และกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ คำกำชับของท่านได้ช่วยชีวิตของศิษย์ ภรรยาและน้องสาวไว้

ทำไมท่านจึงรู้เหมือนตาเห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับศิษย์บ้าง?”
ขงจื้อพยุงเอี๋ยนหุยให้ลุกขึ้น และกล่าวว่า “เมื่อวานอากาศไม่ค่อยสู้ดีนัก น่าจะมีฟ้าร้องฟ้าแลบเป็นแน่

จึงเตือนเธอว่า อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่

และเมื่อวาน เธอจากไปด้วยโทสะ แถมยังพกดาบติดตัวไปด้วย

อาจารย์จึ้งเตือนเธอว่า อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง ”

เอี๋ยนหุยโค้งคำนับ “ท่านอาจารย์คาดการดังเทวดา ศิษย์รู้สึกเคารพเลื่อมใสท่านเหลือเกิน”

ขงจื้อจึงตักเดือนเอี๋ยนหุยว่า “อาจารย์ว่าที่เธอขอลากลับบ้านนั้นเป็นการโกหก ที่จริงแล้วเธอคิดว่าอาจารย์แก่แล้ว ความคิดเลอะเลือน

ไม่อยากศึกษากับอาจารย์อีกแล้ว เธอลองคิดดูสิ อาจารย์บอกว่า 3x8ได้ 23 เธอแพ้ ก็เพียงแค่ถอดหมวก

หากอาจารย์บอกว่า 3x8ได้ 24 เขาแพ้ นั่นหมายถึงชีวิตของคนๆหนึ่ง เธอคิดว่าหมวกหรือชีวิตสำคัญล่ะ? ”


เอี๋ยนหุยกระจ่างในฉับพลัน คุกเข่าต่อหน้าขงจื้อ แล้วกล่าวว่า “ท่านอาจารย์เห็นคุณธรรมเป็นสำคัญ โดยไม่เห็นแก่เรื่องถูกผิดเล็กๆน้อยๆ

ศิษย์คิดว่าอาจารย์แก่ชราจึงเลอะเลือน ศิษย์เสียใจเป็นที่สุด”



จากนั้นเป็นต้นไป ไม่ว่าขงจื้อจะเดินทางไปยังแห่งหนตำบลใด เอี๋ยนหุยติดตามไม่เคยห่างกาย
....
ความคิดของเจ้าของบล็อก
จากตำนานเรื่องเล่านี้ ทำให้ คิดว่า บางครั้งถอยหลัง 1 ก้าว ก็สามารถสร้างสันติได้ ลูกศิษย์ในชั้นบอกว่า การอ่อนข้อให้ใครบางคน ทำให้เขาเกือบไม่มีที่นั่งในห้องประชุม เพราะสังคมมักพิพากษาคนจากประสบการณ์ตน

เลยทำให้ฉุกคิดได้ว่า เพราะ "ศักดิ์ศรี" อย่างเดียวเป็นเหตุให้เกิดมิจฉาทิษฐิ จะบอก จะสอน จะรั้ง ต้องคำนึงถึงเรื่องนีเป็นหลัก ...เรื่องนี้จบไม่ลงค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2553

คนไทยแปลกจริงหรือ

วันนี้ได้ยินเรื่องที่คนชอบบ่นว่าคนไทยนี่แปลก ๆ อยากรบกวนขอให้ระบุวัฒนธรรม/เรื่องราว หรือ....ที่เกิดในประเทศไทยที่คุณเห็นว่าแปลกประหลาดที่สุด จนน่าจะเรียกว่า "bizarre Thailand" ให้ฟังหน่อยค่ะ ควรเป็นเหตุการณ์หรือเรื่องราวที่ทุกคนดูคุ้นเคย อาทิ การเปิดประตูบ้านคุยกับคนแปลกหน้า การกระทำที่ดูผิดแผกแตกต่างจากวัฒนธรรมสากล เป็นต้น -ขออนุญาตยกเว้นเรื่องวัตถุ(คน สัตว์ สิ่งของ)ประหลาดที่เป็นหนึ่งเดียว อาจเป็นสิ่งที่เราทำ/ฟังมาเนิ่นนาน ดิฉันลองพยายามนึกดู ได้ว่า
  • คนไทยถือว่าศรีษะเป็นอวัยวะที่คนทั่วไปไม่สมควรมาแตะ 
  • มือซ้ายไม่ควรนำมาหยิบอาหาร 
  • ไหว้ด้วยมือข้างเดียว อีกข้างถือของ
  • ปิดบังความรู้สึกแท้จริง โดยทำสิ่งตรงข้าม (ยกมือเห็นด้วย ทั้งที่ใจค้าน)
  • ให้ความสำคัญกับคนมีเงิน มีชื่อเสียง พบเห็นในลักษณะ หลบให้เดินไปก่อนทั้งที่ไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัว ไม่คัดค้านหากความเห็นของเขาเหล่านั้นผิด เป็นต้น




ขอฟังจากคุณหน่อยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ
[ภาพจากเทศกาลที่คนต่างชาติเห็นว่า แปลก ใน ASIA จาก 10 of the Most Bizarre Festivals of Asia จาก http://www.dyscario.com/travel-and-places/10-of-the-most-bizarre-festivals-of-asia.html]


วันอังคารที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2553

อัญเชิญพระบรมราโชวาท เนื่องในวันพ่อ 2553


(พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 19 กรกฎาคม 2516)

การทำงาน อย่างใหัมีคุณภาพ ให้ได้ผลบริบูรณ์ จะทำอย่างไรเบื้องต้น ต้องทำความเห็นให้ถูกต้องในงานที่จะทำเสียก่อนโดยใช้ปัญญาไตร่ตรองให้เห็นเหตุที่แท้ ผลที่แท้ ที่ถูกต้องตรงตามเป้าหมายที่พึงมุ่งหวัง แล้ววางแผนการอันแน่นอนที่จะดำเนินการต่อไป ด้วยหลักวิชา ด้วยความร่วมมือปรองดองกัน และสำคัญที่สุด ต้องมีความพากเพียร ไม่ย่อหย่อนในอันที่จะกระทำต่อไปจนกว่าจะเป็นผลสำเร็จ

(พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่นักเรียน นักศึกษา ครู และอาจารย์ในโอกาสเข้าเฝ้าฯวันที่ 27 ตุลาคม 2516)



       การสร้างสรรค์ตนเอง การสร้างบ้านเมืองก็ตาม มิใช่ว่าสร้างในวันเดียว ต้องใช้เวลา ต้องใช้ความเพียร ต้องใช้ความอดทน เสียสละ
     แต่สำคัญที่สุดคือความอดทนคือไม่ย่อท้อ ไม่ย่อท้อในสิ่งที่ดีงาม สิ่งที่ดีงามนั้นทำมันน่าเบื่อ บางทีเหมือนว่าไม่ได้ผล ไม่ดัง คือดูมันครึทำดีนี่
      แต่ขอรับรองว่าการทำให้ดีไม่ครึ ต้องมีความอดทน เวลาข้างหน้าจะเห็นผลแน่นอน ในความอดทนของตนเอง



วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ต้นไม้จริยธรรม

ความเห็นของดิฉัน        ต้นไม้ในเมือง ต่างต้องการดูแลรดน้ำพรวนดิน ยิ่งปลูกอยู่ในบริเวณจำกัด ยิ่งต้องการการดูแลพิเศษยิ่งขึ้น è การที่ต้นไม้ต้นหนึ่งที่ปลูกอยู่ในป่าคอนกรีต จะสมบูรณ์ได้ด้วยตนเอง คงเป็นไปได้ลำบาก ดังนั้น การมองความสำเร็จของสิ่งใดควรมองให้ครบกระบวนการ (INPUT PROCESS OUTPUT)
        ดิฉันเคยเปรียบว่า นกจะบินสูง มิได้อยู่ที่ปีกแข็งแรงเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยแรงลม และสภาพแวดล้อม
        คุณเคยนึกขอบคุณสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัวที่ทำให้วันนี้มีสุข หรือไม่ คุณทำอย่างไรคะ

วันจันทร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

คิดนอกกรอบ

จะเกิดความคิดลักษณะนี้ได้ ต้องมี พละ5 คือ กำลัง5 ประการ คือ

  1. ศรัทธา : มีความเชื่อ
  2. วิริยะ : มีความเพียรแน่วแน่
  3. สติ  : มีความรู้ตัว
  4. สมาธิ  : มีความตั้งใจมั่น
  5. ปัญญา  : มีความรอบรู้ ชัดเจน ไม่หลง

วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เรื่องของนกกระจอก

ในวันหนึ่งของฤดูหนาวที่สวยงามที่ไซบีเรีย ท้องฟ้าสีฟ้ามีแสงสว่างที่อบอุ่นของดวงอาทิตย์ฉาบอยู่ นกกระจอกน้อยที่บินหนีจากรังอันปลอดภัยของตัวเองมาหาอากาศอันอบอุ่น จากการบินมาอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังภายใต้อากาศที่ติดลบถึง40 องศ่าทำให้นกน้อยไม่สามารถจะทานทน มันล่วงลงสู่พื้น ดิน และพบว่าตนเองกำลังถูกฝังในหิมะ และคงจะตายอย่างแน่นอนในไม่ช้า
อย่างไรก็ตาม ขณะนั้นมีแม่วัวที่วิ่งมาอย่างเร็วผ่านมายังจุดที่นกกระจอกกำลังต่อสู้เพื่อลมหายใจสุดท้าย มันอึลงบนนกตัวนั้นกองใหญ่ ความอบอุ่นของอึกองนั้นทำให้นกน้อยที่อาการร่อแร่ฟื้นคืนชีพ มันรู้สึกเป็นสุข จึงยกหัวให้โผล่พ้นอึของวัว และส่งเสียงร้องเพลงอย่างสนุกสนาน เสียงร้องนั้นดึงความสนใจของแมวจรจัด แมวเดินมาบรรจงปัดอึออกจากตัวนกอย่างประณีต และกินนกอย่างตะกรุมตระกราม
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : คนที่โยนเรื่องเลวร้ายใส่เราอาจไม่ใช่ศัตรู คนที่ปัดเรื่องเลวร้ายออกจากตัวเราอาจไม่ใช่ผู้ที่เราควรวางใจ ยิ่งกว่านั้นเราไม่ควรเริ่งร่าเวลาที่รู้สึกอบอุ่นอยู่ใต้เรื่องเลวร้าย เรียบเรียงจากต้นฉบับภาษาอังกฤษ เรื่อง THE STORY OF THE SPARROW : นวลนดา สงวนวงษ์ทอง
เสาร์ที่ 21 ตุลาคม 2549

SOURCE:  http://epc.buffalo.edu/authors/federman/shoes/sparrow.html
THE STORY OF THE SPARROW
Ahmed Soulaïman, a Siberian Tartar, told the Story of the Sparrow to Vasily Michailovitch Tolmatchoff who spent twenty years in a Siberian Gulag, Tolmatchoff told the story to Tiberiù Péskuy of Romania who spent seven years in jail where he met Mircea Cãrtãrescu who also spent seven years in jail for having written subversive poetry, and while in jail Tiberiù told Mircea the Story of the Sparrow, in turn Mircea after he got out of jail told that story to Gezim Hadaj of Albania who after having been tortured and condemned to death for refusing to kiss the feet of the President of Albania managed to escape to Romania and there met Mircea who told him the Story of the Sparrow in a Bucharest café where they met and exchanged stories, eventually after wandering for eight years Gezim ended up in Czecoslovakia where one of his cousins had also escaped, and there in Prague Gezim told his cousin Péter the Story of the Sparrow who then told it to his best friend Ivo Hlavizna, a young dissident who had almost been killed by a Russian tank when the Russian tanks rolled into Prague, Ivo met Maciej Swierkocki from Lód on a train traveling from Prague to Warsaw where both of them were going to attend a conference on Ways to Improve Your Life in the Socialist World, and Ivo told Maciej the Story of the Sparrow, and during the conference Maciej then told the story to Jerzy Patkowski, a friend he had not seen in years because Jerzy had been in jail for twelve years for reasons unknown to him, and when Jerzy, whom everybody called Jurek, got back home to Krakov he told the story to Andreij Slominski who during World War Two helped Jews escape from the death camps, and Andreij told the story to Namredef X, a survivor of Auschwitz, who many years later told me the Story of the Sparrow, and now Dear Reader, I will tell you that story, and perhaps after you've heard it you too may want to tell it to a friend, or even to an enemy.

THE STORY OF THE SPARROW

On a beautiful winter day in Siberia, encouraged by the warm rays of the sun in a clear blue sky, a little sparrow left the security of his nest to fly and frolic in the air, but the 40o below zero temperature quickly overcame the imprudent bird who fell to the ground, frozen, and found himself buried in the snow where he would certainly have died in an instant. But by chance a cow trotted by at that moment, and at the very spot where the sparrow was struggling for his last breath, she dropped a large soft cow-dung on top of the bird. The warmth of this dung-bath resuscitated the moribund sparrow. He was so happy, he raised his head out of the cow-shit and started to twitter joyfully, which drew the attention of a wandering homeless cat who delicately pulled the sparrow out of the shit and devoured him.
The moral of this story: Your enemy is not necessarily the one who shits on your head. Your friend, however, is not necessarily the one who pulls you out of the shit. And besides, one should never twitter when one is buried in shit.

วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

รู้จริง หรือเปล่า

Perception without conception is blind;
while conception without perception is empty.
(Immanuel Kant's (1789) “Critique of Pure Reason” )


บอกว่า "สัมผัส" ไม่ได้แปลว่า "รับรู้"
บอกว่า "เข้าใจ" ไม่ได้แปลว่า "เข้าถึง"
เพราะ ตัวรู้ ต้องเกิดจาก
รับรู้ (PERCEPTION โดยผัสสะ)
+
เข้าถึง (CONCEPTION มีความรู้ในสิ่งนั้น)
ตัวอย่าง เห็นคนเดินมาหนึ่งคน
- PERCEPTION สามารถดูแล้วบอก เพศ อายุประมาณนี้ วิเคราะห์ได้จากสามัญสำนึก ว่าแต่งตัวลักษณะนี้ ....
- CONCEPTION สมมติว่ารู้ว่าเขาเป็นครู สอนประวัติศาสตร์
- การรู้ทั้สองส่วน จะทำให้ความรู้ของเราสมบูรณ์
- หากรู้แต่ PERCEPTION อย่างเดียว เราจะไม่ได้อะไรจากการมองเห็น เป็นความมืดบอด บอกอะไรไม่ได้ บอกได้แต่ความเห็นส่วนตัว ที่เรียกว่าสามัญสำนึก นักวิชาการไม่รับ
- หากรู้แต่ CONCEPTION อย่างเดียว เราจะไม่ได้อะไรจากการรู้ เพราะเป็นความรู้ที่ไม่ได้ผ่านประสาทสัมผัส แค่เข้าข่ายรู้ ไม่ได้เข้าถึงความรู้ สังเกตจากการดูหนังสือ ท่องปาว ๆ ไม่คิดอะไร เดี๋ยวเดียวก็ว่างหายไป